ปั่นไปศาลายา

เมื่อวันเสาร์ที่ 21 มกราคม 2555 ผมได้ร่วมขี่จักรยานกับชาว a day อีกครั้ง หลังจากเมื่อสัปดาห์ก่อนได้ดันทุรังปั่นไปบางปูแล้วต้องแยกกลับก่อน เป้าหมายของเราคราวนี้คือ “ศาลายา” ระยะทางไปกลับร่วม 100 กม.!

ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ก่อนถึงวันเสาร์นั้น ผมก็คิดอยู่ว่าถ้าเอาเจ้าดาฮอนที่สะเด็ดน้ำแล้ว ออกเดินทางไกลขนาดนั้นอีก (ตัวผม) คงจะไม่รอดแน่ๆ เลยเริ่มมองหาจักรยานอีกคัน โดยมีนอร์ธเป็นที่ปรึกษาเช่นเคย ส่วนก้องก็คอยยุไม่หยุด สุดท้ายก็ได้ Tokyobike 26 สีแดง มือสองมา แม้จะไม่ใช่รถที่เหมาะกับการปั่นทางไกลและไม่ได้เร็วอะไรมากมาย แต่เลือกเพราะถูกใจความน่ารักและสีแดง ผมมีโอกาสได้ปั่นเล่นแถวบ้านตอนเช้า 2-3 ครั้ง และปั่นไปขึ้น BTS ไปทำงาน กับปั่นกลับบ้านเพื่อทำความคุ้นเคยครั้งหนึ่งก่อนถึงวันเดินทางจริง ความประทับใจแรกคือเป็นรถที่ปั่นได้ลื่นดี แรงสะเทือนที่มือน้อยกว่า Dahon คันเดิมมาก เกียร์ grip shifter 8 สปีดเหมือนกันด้วย ติดใจอยู่อย่างเดียวคือเบาะมันแข็งไปหน่อย

พอถึงเช้าวันเสาร์ ผมก็ปั่นจากบ้านมาถึงออฟฟิศ a day ที่เอกมัย 10 เป็นระยะทางประมาณ 7.3 กม. เมื่อมาถึงมีคุณธีมารออยู่แล้ว จากนั้นสักพักชาว a day ก็ลงมา คราวนี้มีโต, เอี่ยว, หมี, ก้องกับรถ Fuji Touring คันใหม่, เบิร์ดที่จะออกปั่นครั้งแรกด้วยรถของปู เป็นกลุ่มที่เล็กกว่าทุกครั้ง คือ 7 คน แต่จะมีตามมาสมทบระหว่างทางอีกหลายคน ผมถามก้องว่าทำไมถึงออกรถคันใหม่ นึกว่าจะได้ขี่ Tokyobike สองสีเป็นเพื่อนกันไปกับคันสีฟ้าของก้อง (จริงๆ ผมชวนเพื่อนที่ขี่ Tokyobike อีกสองคน แต่มาไม่ได้) ก้องบอกว่าทริปปั่นทั่วประเทศต้องการรถที่สมบุกสมบันขึ้น แต่น้องฟ้าก็จะเก็บไว้ขี่ชิวๆ ในเมือง ทักทายกันเสร็จแล้วเราก็วิ่งออกถนนสุขุมวิท เลี้ยวขวาตรงยาว พุ่งตรงผ่านตลอดจนเลยมาบุญครอง แล้วไปเลี้ยวขวาเข้าถนนกรุงเกษม ระหว่างทางผมก็คิดเหมือนทุกครั้งที่ขี่จักรยานในเมืองว่า “จริงๆ กรุงเทพมันไม่ได้ใหญ่ แต่เราเสียเวลาและทรัพยากรไปให้กับการจราจรที่ล้มเหลวมากเหลือเกิน”

วิ่งจากเอกมัยมาได้ประมาณ 11 กม. เราก็เลี้ยวซ้ายเข้าถนนหลานหลวง จากนั้นข้ามสะพานผ่านฟ้า เข้าถ.ราชดำเนินกลาง จอดรถตรงโลหะปราสาท ถึงตรงนี้เราได้พบกับคุณแนน และหยุดรอปาล์มขับรถ support มาเจอกัน ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า จังหวะตอนขึ้นสะพานต้องใช้พลังเยอะทีเดียว แต่ตอนลงก็เร็วสะใจจนแอบหวาดเสียว ถ้าจับความเร็วกันจริงๆ น่าจะได้ประมาณ 50 กม./ชม. ความคะนองถูกยั้งไว้ด้วยมือที่คอยแตะเบรกเป็นระยะๆ แอบนึกอยู่ว่าปั่นฟิกซ์คงได้ขาหมุนติ้วกันแน่ๆ

หลังจากลงสะพาน เราวิ่งเข้าซ้ายมาตามถ.อรุณอัมรินทร์ ผ่านหน้าโรงพยาบาลศิริราชแล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนพรานนก ผ่านแยกที่ตัดกับถ.อิสรภาพไปกลับรถแล้วเลี้ยวซ้าย วิ่งต่อมาจนเจอบังคับเลี้ยวซ้ายเข้าถ.วัดสุทธาวาส ยิงตรงมาประมาณ 5 กม. จนถึงจุดที่ตัดกับถ.บรมราชชนนี ถึงตรงนี้เราโทร.เช็คกับณัฐที่จะมาเจอที่ส.น.ตลิ่งชัน แล้วก็ยกรถข้ามทางรถไฟไปทางขวา ก่อนจะปั่นไปได้ซัก 2 โลแล้วถึงรู้ว่ามาผิดทาง ต้องย้อนกลับ ยกกลับ แล้วก็มาถึงสน.ตลิ่งชันจนได้ ที่นี่มีน้ำดื่มถ้วยพลาสติกบริการประชาชนใส่ตู้เย็นรออยู่ ประชาชนผู้หิวโหยอย่างเราเลยเข้าไปหยิบกันมาคนละถ้วย, สองถ้วย, สามถ้วย, … น้ำเลยพร่องตู้ไปทันทีราวกับแร้งลง!

ออกจากส.น.ตลิ่งชัน เราเลี้ยวซ้ายเข้าถนนราชพฤกษ์ ตรงมาประมาณ 3 กม. กลับรถไปฝั่งตรงข้าม วิ่งเข้าถ.บางพรหม ระหว่างทางผมต้องหยุดรถเพราะเริ่มปวดเหนือเข่า มันไม่ใช่ตะคริวแต่เป็นอาการที่เกิดจากตั้งระดับอานไว้ต่ำเกินไป รถใหม่ ยังเซ็ทไม่ดีก็อย่างนี้แหละ สงสัยที่ปั่นกลับบ้านเมื่อคืนไม่รู้สึกอะไรเพราะแทบไม่เจอสะพานและไม่โดนแดดซ้ำเติม สุดถ.บางพรหมเราเลี้ยวซ้ายออกมาที่พุทธมณฑลสาย 1 ข้ามฝั่งมาเข้าซอยไปจนเจอจุดที่ตัดกับถ.กาญจนาภิเษก ถึงตรงนี้ต้องยกจักรยานข้ามสะพานลอยเพื่อเข้าถ.ทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษกที่ฝั่งตรงข้าม

ก่อนที่จะมีเหตุน้ำท่วมใหญ่ ผมไม่เคยคุ้นกับชื่อเขตทวีวัฒนามาก่อน (รวมทั้งอีกหลายๆ เขตของกรุงเทพฯ) แต่ตอนนี้ ระหว่างที่ผมปั่นจักรยานไปและพิจารณาสภาพแวดล้อมข้างทาง ทุกที่เต็มไปด้วยรอยคราบ ซากความเสียหายต่างๆ ชวนสะเทือนใจไม่แพ้เส้นทางไปม.กรุงเทพ รังสิต ที่ผมเพิ่งได้กลับไปสอนหลังปีใหม่ เพียงแค่ผมไม่มีความรู้สึกผูกพันกับสถานที่แถบนี้เท่านั้นเอง พื้นที่แถวนี้มีทั้งหมู่บ้าน, โรงเรียน, ร้านค้า ทุกคนโดนกันหมด

ตอนนี้ระยะทางจาก a day อยู่ที่ประมาณ 36 กม. ในเวลา 11 โมงกว่า ผมกำลังจะหมดแรงเพราะทานมื้อเช้ารองท้องมาน้อยเกินไป ตอนแรกนึกว่าจะแวะทานข้าวกันเร็วกว่านี้ เมื่อความเร็วตกลงเรื่อยๆ ผมต้องตัดสินใจแล้วว่าจะฝืนไปต่อดีหรือเปล่า ผมบอกเอี่ยวที่คอยปิดท้ายขบวนว่าไม่ไหวแล้ว ต้องพัก แต่คงไม่หยุดตอนนี้ เพราะกลัวว่าถ้าหยุดรถแล้วไม่มีอะไรเติมพลังก็คงไปต่อไม่ได้อยู่ดี เลยขอให้ถึงร้านน้ำซักที่ข้างหน้าแล้วกัน แล้วเราก็ปั่นช้าๆ คู่กันมาเรื่อยๆ จนสายตาผมหยุดลงที่ธงญี่ปุ่นที่เขียนว่า “ก๋วยเตี๋ยวเรือ ชามละ 15 บาท”!!! มันก็ไม่ได้เป็นธงที่ออกแบบมาดีอะไรหรอกครับ แต่ตอนนั้นเป็นภาพที่จับใจผมเหลือเกิน เราตัดสินใจหยุดรถกันที่นั่น เอี่ยวบอกว่าดีแล้วที่ผมตัดสินใจหยุด เพราะถ้าฝืนแล้วไปล้มนี่เรื่องใหญ่

ผมแอบเจ็บใจในความอ่อนแอของตัวเองจากความผิดพลาดสองเรื่อง คือการปรับระดับอานผิดพลาด กับการไม่ทานข้าวเช้ามาให้เต็มที่ เอี่ยวโทร.เช็คกับกลุ่มหน้า พบว่าพวกเขาหยุดรอกันไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไหร่ แต่ผมคงต้องขอเติมพลังก่อน ไม่งั้นคงไปไม่รอด จะมีบางคนที่ขอล่วงหน้าไปก่อนแต่ก็จะมีคนที่รอเรา หลังจากไอซ์ทีสองขวดโดนสูบหายไปอย่างรวดเร็ว ผมมีอารมณ์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิด foursquare ว่าจะเช็คอินที่ร้านก๋วยเตี๋ยวซะหน่อย แต่ไม่พบร้านก๋วยเตี๋ยวในลิสท์แฮะ venue ที่ใกล้ที่สุดคือ RC Mania Speed Park สนามแข่งรถบังคับ!? ผมเลยลุกมาชะเง้อมองไปนอกร้าน เพิ่งจะเห็นว่าในซอยที่ปากซอยเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวนี้มีสนามแข่งรถที่ว่าอยู่ ความเหนื่อยล้าทำให้สายตาและสติของผมมาจดจ่ออยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวจนมองข้ามสนามแข่งรถไปโดยสิ้นเชิง… จิตใจคนเราช่างน่ากลัวจริงๆ พอความชุ่มชื้นกลับคืนมาแล้ว ผมกับเอี่ยวก็ซัดก๋วยเตี๋ยวอีกคนละชาม แล้วผมก็ปิดท้ายด้วยน้ำแดงเฮลส์บลูบอยอีกแก้วเติมน้ำตาลให้เต็มที่ก่อนออกปั่นกั่นต่อ มาถึงแยกที่ตัดกับพุทธมณฑลสาย 3 มีก้อง, เบิร์ด และคุณแนน รอเราอยู่ ก้องบอกว่าตอนปั่นผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวเรือก็เกือบโดนกลิ่นหอมดูดเข้าไปเหมือนกัน เราวิ่งต่อมาตามถ.ทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษก เลี้ยวเข้าถ.ทวีวัฒนา วิ่งเลียบคลองขึ้นเหนือมาเรื่อยๆ จนพบกับถนนอุทยาน ระยะทางจาก a day ประมาณ 42 กม.

เราปั่นเข้าเลนจักรยานกันแบบชิวๆ ผมมองสภาพโดยรอบแล้วอดคิดไม่ได้ว่าก่อนน้ำท่วมถนนนี้คงสวยและร่มรื่นน่าดู พอถึงแยกที่ตัดกับถนนใหญ่ตรงพุทธมณฑลสาย 4 แตงโมและคุณอาก็ตามมาสมทบ แตงโมทักทายผมโดยถามว่า “รถเป็นไงบ้างคะ” ก่อนจะมองลงมาเห็นว่า ที่ขี่สีแดงอยู่น่ะไม่ใช่คั่นที่ตกน้ำ “อ้าว รถใหม่… แต่ยังล้อเล็กที่สุดเหมือนเดิม” ไม่ทิ้งคอนเสปท์ครับ 😛 ทันใดนั้น… แวบแรกที่ผมเห็นคุณอาของแตงโม โลกรอบตัวราวกับตัดเป็นภาพสโลวโมชั่น บรรยากาศเหมือนถูกย้อมสีเหลืองน้ำตาลของใบไม้แห้ง คำนิยามที่เหมาะกับคุณอาที่สุดคงไม่พ้น “สิงห์นักปั่นในตำนาน”! (อย่าหาว่าผมเว่อนะครับ ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ) ร่างกายเพรียวและเฟิร์มไร้ไขมัน นั่งอยู่บนอานจักรยานเสือภูเขาที่มีร่องรอยของการเดินทางนับไม่ถ้วนจากสติกเกอร์ที่ระลึกมากมาย และนั่น… กล้ามเนื้อขาที่แลดูทรงพลังฟิตเปรี๊ยะราวกับจะเตะคนให้ซี่โครงหักทิ่มปอดได้ง่ายๆ ไม่ธรรมดาครับ ไม่ธรรมดา…

แล้วเราก็กลับมารวมกลุ่มกันพร้อมหน้าอีกครั้งที่พุทธมณฑล แต่ไม่ได้ปั่นเข้าไป เป้าหมายสุดท้ายของภาคเช้าคือมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อทานมื้อเที่ยงที่โรงอาหาร นี่เป็นครั้งแรกในรอบกว่าสิบปีที่ได้เข้ามาในมหิดล ยอมรับว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีการวางผังและการออกแบบอาคารดูดีมากๆ มีเลนจักรยานเป็นสัดส่วน ปั่นสบาย ถึงหน้าโรงอาหารมีที่จอดจักรยานเหลือเฟือ ระหว่างทางมีเสียงกลองโป๊งชึ่งและกลุ่มนักศึกษาทำกิจกรรมกันอย่างคึกคัก ในที่สุดการเดินทางขามาก็สิ้นสุดลงที่ระยะทางประมาณ 48.2 กม. ในเวลาเกือบบ่ายโมง

เราใช้เวลาทานมื้อเที่ยงไม่นานมากแต่นั่งชิวกันต่อนานกว่า ทุกคนเห็นพ้องกันว่าแดดเป็นตัวตัดกำลังที่ร้ายกาจ เมื่อไม่มีเป้าหมายอะไรนอกจากกลับกรุงเทพฯไม่ให้ดึกเกินไป ก็ไม่มีอะไรให้ต้องรีบร้อน ระหว่างนั่งชิวและวางแผนเส้นทางกัน ปาล์มก็ไปขอยืมจักรยานของพี่ยามมาลองขี่ ซักพักก็ลองแบบมีเกียร์คันของแตงโม ปรากฏว่าติดใจ ท่าทางจะได้เพื่อนร่วมปั่นเพิ่มอีกหนึ่งคนเร็วๆ นี้ (แล้วใครจะคอยขับรถ support ล่ะ!?) จากนั้นเราก็ให้แตงโมซึ่งเป็นศิษย์เก่านำขบวนปั่นชิวชมมหิดล ถ่ายรูปเล่นกันพอหอมปากหอมคอ ก็ได้เวลาออกเดินทางกลับ ถ้าบวกระยะทางที่ผมมาจากบ้านและที่วนเล่นในมหิดลก็คงได้กว่า 50 กม.แล้วล่ะ ถือว่ามาได้ครึ่งทาง ท้องอิ่ม แดดไม่โหด 100 กม.ไม่เกินความจริง 🙂

เราปั่นออกจากมหิดลทางประตูด้านถ.ธรรมสพน์ ที่ประตูเขียนว่า “ห้ามนำจักรยานสีขาวออกนอกมหาวิทยาลัย” ผมเห็นแล้วถึงกับหยุดรถหัวเราะให้ป้าย พูดกับทุกคนว่าถ้าจักรยานผมสีขาวจะแวะถ่ายรูปเศร้าๆ ซักช็อตนึง ปรากฏว่าขา Instagram อย่างหมี (@jiranarong) ก็คิดเหมือนกัน ผมเลยได้ถ่ายรูปหมียืนทำท่าปาดน้ำตาด้วยความอิจฉา เลี้ยวซ้ายออกจากประตูมา หยุดที่ร้านจักรยาน Family Sport ร้านนี้มีจักรยาน Masi สวยๆ โชว์อยู่หลายคัน มีพนักงานเอาน้ำมาต้อนรับด้วย เจ๊เจ้าของร้านก็เอาขนมมาให้กิน เสบียงในรถปาล์มเลยเกือบไม่ได้ใช้ 🙂 แตงโมได้โอกาสเปลี่ยนยางและซื้อของจุกจิก หมีซื้อตัวยึดกระติกน้ำ เอี่ยวซื้อขาตั้งคู่ เรานั่งชิวฆ่าเวลากันจนแดดเริ่มหมดจึงออกเดินทางต่อ

ออกจากร้านมาได้ไม่ทันไร รถของเอี่ยวก็มีปัญหากับขาตั้งที่ซื้อมาใหม่ เลยได้วนกลับไปแก้ไขที่ร้านอีกรอบ เรียบร้อยแล้วเราก็วิ่งตรงตามถ.ธรรมศพณ์มาตรงจุดที่เชื่อมกับพุทธมณฑลสาย 4 ก่อนจะเข้าซอยมาเจอเส้นเลียบคลองทวีวัฒนา เข้าสู่ถ.ศาลาธรรมศพณ์ ตรงมาประมาณ 7 กม. จนเข้าถ.พุทธมณฑลสาย 2 ระหว่างทางแดดเริ่มหมด แต่ปั่นไปเป็นกลุ่มก็ไม่มีอะไรต้องกลัว ที่สำคัญคือคุณอาของแตงโมตอนนี้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหมู่ลูกเสือ คอยแนะนำเส้นทาง และคอยเช็คท้ายขบวนให้อย่างแข็งขันตลอดทาง ประทับใจมากครับ 😀 ระหว่างทาง คุณแนนหายไป ติดต่อก็ไม่ได้ แต่ไม่ทันไรก็ปั่นไล่หลังจนทันกลุ่มเสียแล้วแซงผมไป สุดยอด! ระหว่างทาง ณัฐก็ขอแยกตัวกลับบ้าน

แม้จะไม่มีแดดแล้ว แต่พอเริ่มหิว ผมก็กลับมาวิ่งรั้งท้ายอยู่ดี สงสัยจะทานมื้อกลางวันมาน้อยเกินไป ประมาณตนเองผิดอีกแล้ว แม้ว่าเอี่ยวจะบอกว่าผมปั่นเร็วกว่ากลางวันเยอะแต่ผมก็รู้ตัวว่าต้องฝึกกำลังและความอดทนอีกมาก ถ้าจะไม่ให้ตัวเองเป็นภาระกับทุกคน บางทีความดันทุรังอย่างเดียวมันก็ไม่พอ 🙁

จากพุทธมณฑลสาย 2 เราเลี้ยวซ้ายเข้าถ.สวนผัก อ้อมกลับรถใต้สะพานตรงที่ตัดกับกาญจนาภิเษก แล้วก็วิ่งต่อไปอีกยาว จนผ่านจุดที่ตัดกับถ.ราชพฤกษ์ แล้วก็เลี้ยวขวาเข้าถ.ชัยพฤกษ์ ไปกลับรถตรงอุโมงค์ ที่ชวนตื่นเต้นมากเนื่องจากมีรถไล่หลังเปิดไฟสว่างโร่มาตามทางแคบๆ จนในที่สุดเราก็ออกมาถึงถนนใหญ่ตรงถ.บรมราชชนนี ตรงที่หัวมุมเป็น Tops Supermarket มีสะพานอยู่ข้างหน้า และทางขวาของเราคือทางคู่ขนานลอยฟ้า

จากจุดนี้ ผมขอเรียกช่วงนี้ว่า “สะพานวัดใจ” เพราะเป้าหมายของเราคือร้านข้าวต้มชื่อ “โจ๊กโภชนา” ถ้าไปทางสะพานพระราม 8 ได้จะใกล้ที่สุด แต่ถ้าจะวิ่งเข้าเส้นบรมราชชนนีแล้วตรงไปพระราม 8 ได้ เราต้องวิ่งขึ้นสะพานแล้วตบไปเลนกลางเบี่ยงขวาให้ได้ แต่ตรงนี้รถเยอะ แถมวิ่งกันเร็วด้วย พวกเราเริ่มคุยกันว่าจะเอายังไงดี… กลัวจะได้เป็นข่าวหน้าหนึ่ง หรือโครงการ a day ฉบับจักรยานอาจต้องยกเลิกด้วยโศกนาฏกรรมในคืนนี้!? คุยกันไปคุยกันมา คุณอาก็พุ่งนำไปรออยู่ข้างหน้าแล้ว! เราเลยลงมติกันว่า “ไป” แล้วก็พร้อมใจกันจูงรถข้ามถนนมาเลนหนึ่งก่อนที่จะจัดรูปขบวน พอถึงตรงนั้นแล้วผมก็ยังรู้สึกว่า “ไม่กล้าพอ” แต่ดูเหมือนว่าใจทุกคนจะพร้อมแล้ว พอเรียงรถกันเรียบร้อยโดยผมอยู่กลางๆ ขบวน ก็เห็นโตพุ่งนำลิ่วไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนก็เลยรีบปั่นตามกันเป็นกลุ่มไปอย่างฉุกละหุก มีรถกระบะคันหนึ่งท่าทางจะไม่สบอารมณ์ที่ต้องเสียจังหวะเพราะพวกเรา เลยเบี่ยงแล้วเบิ้ลแซงผ่านไปทิ้งควันดำตลบอบอวลไว้ให้สำลักเล่น แต่สุดท้ายเราก็ผ่านมาได้อย่างปลอดภัยทุกคน 😀 นอกจากร่างกายแล้ว ผมคงต้องฝึกจิตใจให้เข้มแข็งกว่านี้ด้วยสินะ…

พอพ้นช่วงสุดระทึกไปแล้วก็ไม่เหลืออุปสรรคใดอีก เราวิ่งตรงมาเรื่อยๆ ผ่านสำนักงานกระทรวงวัฒนธรรม ผ่านเมเจอร์ รถเยอะจนต้องซอกแซกกันตัวลีบ เลี้ยวซ้ายเข้าถ.พระราม 8 พอถึงตีนสะพานพระราม 8 ก็มีสมาชิกบางคนหายไป เราเลยวนกลับไปกลับมาตามหากัน แต่ใจนึงก็รู้ว่าคงไม่มีอะไรต้องห่วง สุดท้ายก็ยกจักรยานขึ้นสะพาน ปั่นข้าม ยกลง แล้วก็เลี้ยวขวาเข้าถนนสามเสน ก่อนจะเลี้ยวขวาอีกทีเข้าซอยสามเสน 2 ถึงร้านโจ๊กโภชนา เวลาประมาณสองทุ่ม ระยะทางตั้งแต่ออกจากมหิดล ประมาณ 35 กม.

มาถึงก็เจอว่าคนที่เราคิดว่าหลงกลุ่มนั้นมาถึงก่อนตั้งนานแล้ว ปาล์มก็จองโต๊ะสั่งอาหารไว้รอเราเสร็จสรรพ เราผูกจักรยานกันเป็นพวงใหญ่แล้วก็นั่งกินมื้อเย็นกันอย่างดุเดือด ร้านนี้อร่อยทุกอย่าง โดยเฉพาะไข่เจียวที่ถูกปากจนต้องสั่งเพิ่มมาเป็นเมนูตบท้าย เราทานเสร็จกันก็สามทุ่มกว่าแล้ว กว่าจะทอนตังค์กันเสร็จก็อีกพักนึงเพราะมีการบวกผิดบวกถูกกันมึน เตรียมแยกย้ายกันกลับ เหลือคนที่จะไปเส้นเดียวกับผมคือก้อง, เอี่ยว และเบิร์ด ที่จะกลับเอกมัย ผมจะแยกทางที่เอกมัยเพื่อกลับบ้านที่อ่อนนุช กระเป๋าสัมภาระของผมใส่อยู่ในกระเป๋าข้างรถใบโตของก้อง ผมเลยบอกตัวเองว่าทริปหน้าต้องมีตะแกรงท้ายติดรถตัวเองแล้ว ตอนดาฮอนไม่อยากติดเพราะต้องพับแล้วยกไปมาเป็นประจำ แต่คันนี้คงต้องหาอันที่ดูดีถูกใจให้ได้ ผมกับก้องคุยกันตลอดทางเรื่องเปลี่ยนเบาะ เพราะอันที่มากับรถของผมและก้องช่างทรมานบั้นท้ายมากจนไม่อยากลง (ขึ้นทีไร ตอกย้ำความเจ็บปวดทุกที) สรุปว่ามีอุปกรณ์อีกสองชิ้นให้ซื้อ ชาว a day ช่วงนี้บ้าซื้อจักรยานกันมาก นัดแนะกันเสร็จสรรพว่าจะไปดูกันวันไหน ผมบอกว่าเดี๋ยวจะฝากตังค์ไปละกัน

ออกจากสามเสน 2 ก้องแนะนำเส้นทางที่ปั่นสบาย คือผ่านแถวเสาชิงช้ามาหัวลำโพงแล้ววิ่งยาวตามเส้นพระราม 4 จนเลี้ยวซ้ายทะลุซอยกล้วยน้ำไทมาออกถ.สุขุมวิทตรงหน้าวัดธาตุทอง พอหยุดรถเพื่อถ่ายเทสัมภาระกันตรงทางเข้าวัด ผมก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อจะเช็คอินและดูระยะทาง ปรากฏว่า ผมลืมกด resume บน iMapMyRide ตอนออกจากร้านข้าว! เลยไม่รู้แล้วว่าเป็นระยะทางเท่าไหร่ตั้งแต่ออกจากมหิดล แต่ก้องบอกว่ารถเขาโชว์ว่า 98 กม. ถ้าบวกกับที่ผมปั่นจากบ้านไปจุดนัดพบเมื่อเช้าก็เท่ากับว่าวันนี้ผมปั่นมาแล้ว 105 กม. เป็นสถิติใหม่ที่น่าชื่นใจ แต่ก็ไม่ใช่ว่าได้มาอย่างราบรื่น ดูระยะทางจากวัดธาตุทองไปอ่อนนุชก็ไม่ไกล แต่ผมล้าได้ที่แล้ว นึกถึงสะพานข้ามคลองพระโขนงอันใหญ่ข้างหน้าแล้วเลยตัดสินใจขอใช้ตัวช่วย ขึ้น BTS ย่นระยะทางลงบ้างก็ยังดี ไหนๆ บันไดเลื่อนก็อยู่ตรงหน้าแล้ว ผมเลยแยกทางกับก้อง, เอี่ยว, เบิร์ด ที่ BTS หน้าวัดธาตุทอง เวลาขณะนั้น สี่ทุ่ม 15 นาที

ยกรถขึ้นมาถึงชานชาลา สักครู่หนึ่งรถขบวนแรกก็วิ่งมา ปรากฏว่าคนแน่นตู้จนไม่กล้าขึ้น คุณลุงรปภ.ก็เดินมาคุยว่า “เวลาแบบนี้ ขาออก คนแน่นมากนะ รอขบวนถัดไปดีกว่า” ผมก็รอจนขบวนที่สองผ่านมา คนยังแน่นเหมือนเดิม ชักเซ็ง กำลังจะตัดสินใจว่าจะยกรถลงแล้วปั่นกลับบ้านเลยดีไหม เลยขอให้ลุงรปภ.ช่วยว.ไปเช็คกับขบวนต่อไป ได้ความว่าก็ยังแน่นเหมือนกัน แต่ตู้กลางๆ ขบวนจะพอมีที่ พอรถขบวนถัดไปมาเข้าจอด ผมก็ขอบคุณลุงรปภ.แล้วลากรถวิ่งไล่ดูมันทีละตู้เลย จนเจอตู้ที่พอว่างก็รีบเสียบเข้าไป แล้วก็ได้มาลงที่อ่อนนุช ซื้อน้ำส้มดื่มเรียกแรงขวดนึงแล้วก็ปั่นกลับบ้านเป็นระยะทางประมาณ 3 กม. จบทริปนี้ตอนห้าทุ่มเศษๆ รวมระยะทางโดยประมาณ 108 กม. เสร็จทริปนี้ ผมก็นำรถไปเปลี่ยนยาง, เปลี่ยนเบาะ, เปลี่ยนผ้าเบรค ติดตะแกรงหลัง และเตรียมตัวเองให้พร้อมกับทริปต่อไป

ขอขอบคุณทุกคนที่ร่วมทริปนี้อีกครั้ง และขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านครับ 🙂

One Response to “ปั่นไปศาลายา”

  1. สุขพิชัย (อาร์ม) Says:

    February 9th, 2012 at 16:34

    อ่านบล็อคนี้แล้วอย่างลองออกไปปั่นจักรยานระยะไกลบ้างครับ คุณวีร์สามารถจักสรรเวลาสำหรับกิจกรรมoutdoorได้เจ๋งครับ (อ่านจากในหลายๆโพสของคุณวีร์ )

    สงสัยผมคงต้องหาเวลาทำกิจกรรมoutdoorบ้างแล้ว ทุกวันนี้พอวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ก็เรียนอย่างเดียวเลย!! -*-

Leave a Reply

You must be logged in to post a comment.